ทำไมต้องย้าย ?
หากคุณมีคำถามในใจว่าควรจะย้ายไปที่ Cloud ดีไหม เราจึงอยากเสนอประโยชน์ที่ได้จากการย้าย Cloud ดังนี้
1. เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และ ลดค่าใช้จ่ายด้านการดำเนินงาน: ลดการใช้ Hardware เพิ่มความสามารถในการตจัดการ แลสามารถประหยักได้ 20-30% จากการ Configure VM
2. รองรับความจุที่สูงขึ้นกระทันหัน: โดยทั่วไปแล้ว Server มักใช้งานไม่เต็มที่เนื่องจากต้องการความจุมากกว่าค่าเฉลี่ยเพื่อรองรับการใช้งานที่สูงขึ้นอย่างกระทันหัน ในระบบ Cloud สามารถเปิดใช้วิธีการ Scale-when-you-need-it
3. การต่อสัญญาหรือเปลี่ยนฮาร์ดแวร์: การใช้ Cloud ทำให้ง่ายต่อการต่อสัญญา และไม่ต้องใช้ Hardware ดังนั้นจึงลดค่าใช้จ่ายด้าน physical ลงไป
4. หาก Software ที่ใช้งานอยู่ อัปเกรดไม่ได้อีกต่อไป ซึ่งหมายถึงการรักษาความภัยจากภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ๆ จะไม่มี ดังนั้นจึงถึงเวลาที่จะเปลี่ยนมาใช้ Microsoft Azure
ก่อนที่จะเริ่มย้ายไปที่ Cloud 3 สิ่งแรกที่ควรจะคำนึงถึงคือ
• คำนึงถึงจุดประสงค์ของการย้าย
จากนั้นจึงเริ่มการวางแผนย้ายระบบได้
1. กำหนดกลยุทธ์
• หาเหตุผลมาสนับสนุน
• ขอความร่วมมือจากฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้อในองค์กร
• กำหนดว่าเมื่อใดที่จะขอการช่วยเหลือจากภายนอก
2. วางแผน ค่าใช้จ่ายของการดำเนินงานเพื่อไม่ให้งบบานปลาย
• ประเมินปริมาณงานที่จะย้ายเพื่อคำนวนความจุที่คาดว่าจะต้องใช้ โดยรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ Server VM Application Database รวมถึงชนิดของการกำหนดค่า การใช้งาน และ application ที่อาจจะใช้งาน
• เครื่องมือสำหรับการประเมิน
• Azure Migrate: การประเมินเซิร์ฟเวอร์: ช่วยค้นหาและประเมิน VMware VM, Hyper-V VM และเซิร์ฟเวอร์จริงภายใน องค์กร
• Data Migration Assistant: ประเมินฐานข้อมูล SQL
• วางแผนต้นทุน โดยการรวบรวมการใช้งานทรัพยากรเช่น CPU หน่วยความจำ และที่เก็บข้อมูล ซึ่งขั้นตอนนี้เป็นอีกหนึ่งขึ้นตอนสำคัญเพราะองค์กรส่วนมากมักจะเตรียมไว้มากเกินไป แต่ใช้งานน้อยกว่าที่ต้องการ และเนื่องจากระบบ Cloud ให้บริการแบบจ่ายตามการใช้งาน
• เครื่องมือสำหรับการวางแผนต้นทุน
• เครื่องคำนวณ TCO ของ Azure
3. เตรียมความพร้อม
• จัดระเบียบทรัพยากร ด้วยการจัดหมวดหมู่ หรือ ลำดับขั้น ซึ่งจะช่วยให้ควบคุมการเข้าถึงได้
• จัดการการเข้าถึง โดยควบคุมการเข้าถึงทรัพยทกรตามหน้าที่
4. ย้าย
• จำลองปริมาณงานไปยัง Azure เป็นขั้นตอนแรกของการย้าย ซึ่งเป็นประโยชน์การเชื่อมต่อของกลุ่ม VM เช่น Application หรือปริมาณงานแบบหลายชั้น ซึ่งสามารถใช้ฟีเจอร์นี้สำหรับ Application ระดับองค์กรของ Microsoft เช่น SharePoint, Dynamics, SQL Server และ Active Directory รวมทั้งแอปจากผู้จัดจําหน่ายรายอื่นๆ เช่่น Oracle, SAP, IBM และ Red Hat
• ทดสอบการย้าย ช่วยให้มั่นใจในสถานภาพของระบบ ซึ่งการทดสอบจะไม่ส่งผลกระทบต่อเครื่องภายในองค์กรที่ยังทำงานอยู่
เปลี่ยนผ่านเพื่อทำให้การย้ายเสร็จสมบูรณ์ หลังจากที่ทดสอบว่ามมีการทำงานตรงตามที่คาดไว้แล้ว
5. กำกับดูแล เพราะไม่ได้จบลงแค่ที่การย้าย เราต้องแน่ใจว่าได้เก็บรักษา VM ของคุณไว้อย่างปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง ปกป้องข้อมูล และตรวจสอบสถานภาพของระบบ Cloud โดยพิจารณาหลักการของการดูแลเหล่านี้
• นโยบายองค์กร การกำกับดูแลมุ่งเน้นไปที่แง่มุมเฉพาะของนโยบาย รวมถึงการระบุความเสี่ยงทางธุรกิจ การแปลงความเสี่ยงให้เป็นนโยบาย และรับประกันถึงการปฎิบัติตามนโยบายที่กำหนด
• กฎของการกำกับดูแล
1. การจัดการต้นทุน
2. ข้อมูลพื้นฐานด้านความปลอดภัย
3. ความสดคล้องของทรัพยากร
4. ข้อมูลประจำตัวพื้นฐาน
5. การเร่งปรับใช้
6. จัดการ เพื่อกําหนดข้อมูลพื้นฐานด้านการจัดการและข้อผูกมัดทาง ธุรกิจเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ทางธุรกิจที่จับต้องได้ เป็นกระบวนการแบบต่อเนื่องเช่นเดียวกับการกำกับดูแล ซึ่งมีสิ่งที่ควรพิจารณาดังนี้
• การร่วมมือทางธุรกิจ ช่วยในการค้นหาผลกระทบทางธุรกิจและเจรจาตกลงต้นทุนในการจัดการ การร่วมมือ ทำให้มั่นใจว่าทุกคนกำลังใช้กระบวนการและเครื่องมือการจัดการดำเนินงานที่เหมาะสมที่สุด
• กฎระเบียบของการดำเนินงาน Cloud เพื่อกำหนดระดับของการจัดการกับดำเนินงาน กฎระเบียบเหล่านี้สนับสนุนปริมาณงานและข้อผูกมัดทางธุรกิจ เช่น สินค้าคงคลังและการมองเห็น การปฎิบัติตามการดำเนินงาน และป้องกันและกู้คืน
ทำไมต้องเป็น Azure ?
เพราะประหยัดเงินด้วยข้อเสนอที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับ Windows Server และ SQL Server ซึ่งย้ายปริมาณงานของคุณไปยัง Azure ได้อย่างมั่นใจ
• มีความปลอดภัยและสามารถยืดหยุ่นได้ในสภาพแวดล้อมแบบ Hybrid
ข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม
ถ้าต้องการย้ายข้อมูลลงไปใน Cloud เพื่อเพิ่มพื้นที่จัดเก็บข้อมูล โดยไม่ต้องการเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม และกำลังสับสนระหว่าง AWS และ Azure ในบทความนี้เราจะมาบอกความแตกต่างระหว่างของสองรุ่น ซึ่งทั้งสองได้ให้บริการเป็นแบบ Iaas หรือ Infrastruture-as-as-Service ประกอบไปด้วยการเป็นโฮสต์และบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และเซิร์ฟเวอร์ให้พื้นที่เก็บข้อมูล เรียกได้ว่าให้บริการที่คล้ายมาก แต่ทั้งสองก็มีจุดที่แตกต่างกันดังนี้
เป็น Platform Cloud ที่ครอบคลุมและถูกนำมาใช้เป็นอย่างมาก โดยนำเสนอบริการที่มีมากกว่า 200 บริการ ตั้งแต่เทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานอย่างการคำนวณ การจัดเก็บ และฐานข้อมูล ไปจนถึงเทคโนโลยีใหม่ เช่น แมชชีนเลิร์นนิ่งและปัญญาประดิษฐ์, Data Lake และการวิเคราะห์ รวมถึง IoT นอกจากนั้น AWS ยังมีฟังก์ชันการทำงานออกแบบมาตามวัตถุประสงค์การใช้งานประเภทต่าง ๆ จึงสามารถเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมกับการใช้งาน AWS ยังถูกใช้ง่ายในอุตสาหกรรมในทุกสาขาและทุกขนาด จึงบอกได้ว่า เป็นระบบ Cloud Server ที่ออกแบบตามวัตถุประสงค์อย่างแท้จริง
1. มี EC2 หรือ Elastic Compute Cloud เป็นบริการโฮสต์เซิร์ฟเวอร์ของ Amazon โดยเซิรฟ์เวอร์ที่ว่านี้ เป็นเซิร์ฟเวอร์เสมือนที่สามารถเลือก spec ได้ตามต้องการ
มีการเก็บข้อมูลแบบชั่วคราว แต่ก็สามารถนำ EBS มาใช้เพื่อกันข้อมูลโดนลบได้เช่นกัน
2. มีบริการ Virtual Private Cloud แค่เฉพาะบน AWS Infrastructure สำหรับผู้ที่ใช้อินเตอร์เน็ตระยะไกล
3. มีการคิดค่าบริการเป็น แบบ On demand คิดค่าบริการเป็นรายชั่วโมงไปจนถึงวินาที และมีแบบซื้อล่วงหน้าเป็นระยะเวลา 1-3ปี ซึ่งราคาจะถูกลง 40-60% สุดท้ายคือการให้บริการตามที่สามารถจ่ายได้ ราคาจะถูกที่สุดเมื่อเทียบกับ On demand ประมาณ 50-90%
4. รองรับการใช้งานแบบ Open Source และเหมาะกับ Linux มาก
5. มีฟีเจอร์ให้ใช้งานเยอะจากที่กล่วงไปข้างต้น แต่อาจจะต้องใช้เวลาในการเรียนรู้และทำความเข้าใจ
6. มีตัวช่วยในการย้าน Flie ขึ้น AWS ชื่อว่า Snowball edge ที่รองรับได้มากถึง 100 TB
เป็นระบบ Cloud ที่มี Data Center กระจายอยู่ทั่วโลกและมีเซิร์ฟเวอร์ให้บริการเป็นหมื่น ถ้าเซิร์ฟเวอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่งเกิดปัญหา อีกเครื่องหนึ่งจะเข้ามาทำงานแทนทันที และเนื่องจากที่เป็นของ MIcrosoft จึงสามารถทำงานร่วมกับแอปพลิเคชันอื่นๆ ของ Microsoftได้
1. มีบริการ Virtual Machines
2. มีการเก็บข้อมูลแบบชั่วคราวที่ใส่ไว้ใน Drive D สำหรับ WIndows และมีบริการพื้นที่เก็บข้อมูลแยก ที่ชื่อว่า Azure Disk Storage และ มีบริการเก็บข้อมูลบน Cloud เรียกว่า Blob Storage Azure
3. ให้บริการ Virtual Network ที่สามารถสร้าง Isolated network รวมไปถึง Subnet, Route table, Private IP Address range และ Network Gateway
4. คิดราคาแบบ Pay-as-you-go เป็นรายนาทีและวินาที จ่ายล่วงหน้า 1-3ปี เหมือนกับ AWS และแบบจ่ายล่วงหน้าที่จะต้องเติม Azure Credit ก่อน
5. สามารถรวมการทำงานกับ tool อื่นๆ ของ Microsoft อย่างเช่น Visual Basic, SQL Database, Active Directory
6. หากเคยเป็น WIndows Admin ก็จะเรียนรู้การใช้งาน Azure อย่างง่ายดาย Microsoft
7. เหมาะกับการใช้งานเป็น Hybrid Cloud มาก เพราะว่ารองรับหลาย ๆ บริการ เช่น Azure StorSimple, Hybrid SQL Server, Azure VMware Solution และ Azure Stack
การเปรียบเทียบทั้งสองบริการนี้เพื่อเป็นตัวช่วยในการเลือกใช้บริการที่เหมาะสมกับสิ่งที่คุณต้องการ หากสนใจบริการ Cloud ก็สามารถติดต่อสอบถามได้ที> https://mon.co.th/
Written by Nutthaka Ch.
ref: https://www.rapyder.com/amazon-web-services-insights/guide-choosing-right-iaas-provider-aws-azure/
]]>