ความไวไม่เป็นเรื่องของปีศาจอีกต่อไปเมื่อมี CDN
ความไวไม่เป็นเรื่องของปีศาจอีกต่อไปเมื่อมี CDN
CDN หรือ Content Delivery Network คือ การกระจาย Server ไปในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่รวดเร็วขึ้น หลักการทำงานคือ จะมีการ Copy ข้อมูลของเครื่องข่าย ไปไว้ใน Server ที่กระจายตัวอยู่ตามจุดต่าง ๆ เมื่อผู้ใช้งานเรียกดูข้อมูล ระบบก็จะส่งข้อมูลจาก Server ที่ใกล้ที่สุดให้ เป็นการลดปัญหาไม่ให้ Server หลักทำงานหนักเกินไป เมื่อเกิด Traffic มาก ๆ และ ช่วยลดการสิ้นเปลือง Bandwidth อีกด้วย พูดง่าย ๆ เหมือนการมีร้านหลายๆ สาขาตามจังหวัด หรือประเทศ เพื่อเสิร์ฟข้อมูลที่ ลูกค้าต้องให้เร็วที่สุด
ในปัจจุบันบริการ CDN กำลังเป็นที่นิยมเพิ่มขึ้น บริษัทที่มีการเอา CDN มาช่วยในการดำเนินงานเช่น Shopee, JIB, HomePro, หรือ บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Netflix และ Amazon
แล้ว CDN แตกต่างกับ Web host ยังไง…?
ข้อแตกต่างของสองอย่างนี้อยู่ที่ จำนวน Server ที่นำมาใช้ และ จำนวนคอนเทนต์ที่ออกไป
Web host จะใช้เพียง Server เดียว เพื่อแสดงข้อมูลทั้งหมดของ Website ให้กับ User หากเราโหลดเนื้อหาของ Server นั้นอยู่อีกซีกโลกหนึ่ง User จะต้องใช้เวลาซักพักในการดาวน์โหลดข้อมูลทั้งหมดนั้น ขณะที่ CDN ใช้ Edge Server เพื่อเผยแพร่เนื้อหาจากหลาย ๆ host ที่เชื่อมต่อกัน ซึ่งจะไม่ใช่เนื้อหาทั้งหมดของ Website ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาแบบ Static หรือ Dynamic ทำให้เมื่อ User เรียกดูข้อมูลนั้นไม่ต้องใช้เวลามาก เพราะมีการเรียกข้อมูลจาก Server ที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ
ยิ่งไปกว่านั้น CDN ยังเป็นประโยชน์ต่อ E-commerce เป็นอย่างมาก เมื่อมีการโหลดข้อมูลสินค้าเร็วขึ้น การตัดสินใจซื้อก็ยิ่งเร็วขึ้นไปด้วย ผลสำรวจพบว่าการดีเลย์เพียง 1 วินาทีก็ทำให้ความพึงพอใจของลูกค้าลดลงไปถึง 16% ยิ่งไปกว่านั้น 64% ของลูกค้าที่ได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดีต่อเว็บไซต์นั้น ๆ จะไม่กลับไปใช้เว็ปนั้นอีก (https://www.websitebuilderexpert.com/building-websites/website-load-time-statistics/)
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม ธุรกิจ E-commerce หลาย ๆ เจ้าตัดสินใจใช้ CDN เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขาย ส่วนมากเนื้อหาที่ปรากฎก็จะเป็น รูปภาพ และ stylesheet ทำให้ใช้เวลาน้อยมากในการโหลด
โดย K-commerce ได้อธิบายประโยชน์จากการใช้ CDN ในธุรกิจ E-commerce ไว้ 3 อย่างด้วยกัน
1. คะแนน SCO สูงขึ้น
การเพิ่มความเร็วของเว็บไซต์จะช่วยเพิ่มคะแนน SCO จาก Google ด้วยเช่นกัน เพราะความเร็วของเว็ปไซต์จะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ Google ใช้กำหนดอันดับ SCO
2.เพิ่มความเร็วในการตัดสินใจซื้อ = เพิ่มยอดขาย
Amazon พบว่าพวกเขาสูญเสียยอดขาย 1% จาก latency ของเว็ปในทุก 0.01 วินาที อาจจะดูน้อยนิดเมื่อ Amazon สามารถทำกำไรได้ถึง 178 ล้านดอลลาห์ ในปี 2017 แต่ถ้ามองอีกมุม การสูญเสีย 1% ของ 178 ล้าน ก็เป็นราคาที่ไม่น้อยเลยถ้าจะต้องสูญไปในทุก ๆ 0.01 วินาที
ทำให้เข้าใจได้ว่า แค่เว็ป Delay ไม่กี่วินาที ก็อาจจะทให้สูญเสีย รายได้ไปมหาศาล
3.สร้าง Loyalty
อย่างที่กล่าวไปว่า คนเรานั้นไม่ชอบการรอ หาก Shopping ที่เว็บไซต์ที่ใช้เวลาในการโหลดนานอาจจะทำให้ไม่เกิดประสบการณืที่ดีต่อลูกค้า และทำให้ไม่กลับมาซื้อของที่เว็ปไซต์ อีกเลย ในทางกลับกันถ้าเราทำให้การ Shopping ในเว็ปของเรา มีความลื่นไหล จะเกิดประสบการณ์ที่ดีกว่าอย่างแน่นอน
ผู้ให้บริการ CDN ที่เราแนะนำ
Cloudflare เป็นหนึ่งผู้ให้บริการ CDN ที่ถูกใช้งานในด้าน E-commerce อย่างแพร่หลาย และสร้างความปลอดภัยให้กับเว็ปไซต์จาก DDos อีกด้วย
ข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม
Line : @monsterconnect
Facebook : Monster Online
Tel : 02-026-6664
Website : https://mon.co.th/
Written by Nutthaka Ch.
Ref
1. https://www.cloudflare.com/learning/cdn/what-is-a-cdn/
2. https://www.knowmad.com/blog/benefits-of-cdn-hosting-vs.-traditional-website-hosting
3. https://www.belugacdn.com/best-cdn-for-ecommerce/
4. https://www.k-ecommerce.com/blog/three-unexpected-benefits-of-using-a-content-delivery-network-cdn/
Leave a comment