Digital Privacy วิธีลด digital footprint โดยไม่ต้องเลิกใช้เทคโนโลยี
วิธีลด Digital footprint ของคุณ

เปลี่ยนพฤติกรรมประจำวัน เพื่อไม่ทิ้งข้อมูลส่วนตัวบนโลกออนไลน์มากเกินไป
ในโลกปัจจุบัน การมีตัวตนบนโลกออนไลน์แทบจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ชีวิตประจำวันของเราส่วนใหญ่ล้วนดำเนินอยู่บนโลกดิจิทัล และหากคุณไม่ได้เป็นลูกเรือกลางทะเลหรือเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า การใช้ชีวิตแบบไม่ออนไลน์เลยคงเป็นเรื่องยากมาก ข้อมูลประมาณการณ์ระบุว่าแต่ละคนสร้างข้อมูลขึ้นมาราว 2–3 กิกะไบต์ต่อชั่วโมง ผ่านสมาร์ตโฟน อุปกรณ์ IoT และบริการออนไลน์ต่างๆ จึงไม่น่าแปลกใจที่ประมาณ 70% ของชาวอเมริกันกังวลเกี่ยวกับการที่รัฐบาลเก็บข้อมูลของพวกเขา และมากถึง 80% กังวลว่าบริษัทต่างๆ จะเก็บข้อมูลเหล่านี้ไปใช้
กิจวัตรยามเช้า: Smartphones และ Browsers ติดตามคุณได้อย่างไร

เมื่อคุณตื่นนอน เช็กสภาพอากาศ เลื่อนดู Reels กดไลก์สองสามโพสต์ และเช็กเส้นทางไปทำงานเพื่อดูว่ามีรถติดตรงไหนบ้าง สำหรับการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวบนโซเชียลมีเดียนั้นค่อนข้างตรงไปตรงมา คือคุณแค่ปรับแต่งไม่ให้พ่อแม่หรือเพื่อนร่วมงานต้องหัวใจวายกับมุกตลกร้ายของคุณ ซึ่งเว็บไซต์ Privacy Checker ของเราสามารถช่วยคุณในเรื่องนี้ได้ แต่มันจะซับซ้อนขึ้นเมื่อเป็นเรื่องของ ข้อมูลตำแหน่งที่ตั้ง (geolocation) ซึ่งดูเหมือนว่าใครๆ ก็อยากจะเก็บข้อมูลนี้ เราเคยเจาะลึกไปแล้วว่าสมาร์ทโฟนสร้างโปรไฟล์ของคุณอย่างละเอียดได้อย่างไร และได้อธิบายไปแล้วว่าบริษัทนายหน้าค้าข้อมูลตำแหน่งที่ตั้ง (geolocation data brokers) คือใคร และจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อข้อมูลของพวกเขารั่วไหล
วิธีง่ายๆ ในการลดการถูกติดตาม (Normal Measures)
-
เข้าไปที่ ตั้งค่า → ความเป็นส่วนตัว → การจัดการสิทธิ์ของแอป แล้วไปดูว่าแอปไหนขอใช้พิกัดของเราบ้าง ถ้าเป็นแอปแชต แอปดูอากาศ หรือแอปที่ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าเราอยู่ที่ไหน ก็ปิดการเข้าถึงพิกัดตอนที่ไม่ได้ใช้งานไปเลย
-
สำหรับ iPhone ให้เข้าไปที่ ตั้งค่า → ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย → การติดตาม แล้ว ปิดตัวเลือกที่ให้แอปขอติดตามเราได้ และถ้าใช้ iOS เวอร์ชันใหม่ จะมีเมนูชื่อ Safety Check เอาไว้ตรวจสอบว่าแอปหรือคนอื่นเข้าถึงข้อมูลเรายังไงบ้าง และสามารถกดรีเซ็ตการเข้าถึงทั้งหมดได้เลยถ้าเจออะไรแปลกๆ
-
อยากให้ Google หยุดตามเราไปทุกที่? ลองอ่านโพสต์ของเราที่ชื่อว่า What Google Ad Topics is, and how to disable it จะมีวิธีปิดการติดตามแบบละเอียดให้
-
ถ้าใช้ Safari (เบราว์เซอร์ของ Apple) ก็เข้าไปที่ การตั้งค่าความเป็นส่วนตัว แล้วเปิดฟีเจอร์ ป้องกันการติดตามข้ามเว็บไซต์ (cross-site tracking) และในเมนูขั้นสูง ให้เปิด ป้องกันการติดตามและการระบุตัวตนขั้นสูง เพื่อให้ปลอดภัยเวลาท่องเว็บมากขึ้น
สำหรับสายจริงจังเรื่องความเป็นส่วนตัว (Paranoid Measures)
-
ถ้าอยากจัดเต็มเรื่องความปลอดภัย ลองซื้อมือถือ Google Pixel แล้วลงระบบที่ชื่อว่า GrapheneOS ซึ่งตัด Google ออกไปเกือบหมด หรือถ้าใช้ Android รุ่นอื่น ก็ลองหาเฟิร์มแวร์ที่ชื่อว่า AOSP ที่ให้คุณเลือกติดตั้งเฉพาะแอปที่อยากใช้จริงๆ
-
บน iPhone มีโหมดที่เรียกว่า Lockdown Mode (โหมดล็อกดาวน์) ซึ่งช่วยปิดการทำงานหลายอย่างที่อาจโดนแฮกได้ แม้จะใช้ไม่สะดวกเท่าเดิม แต่มันช่วยป้องกันตัวคุณได้มากในสถานการณ์เสี่ยง
-
ตั้งค่าตัวกรอง DNS ภายในบ้าน เช่น Pi-hole ที่ช่วยบล็อกโฆษณาและตัวติดตามได้เป็นแสนรายการ หรือจะติดตั้งปลั๊กอินอย่าง Privacy Badger บนเบราว์เซอร์ก็ได้ (ใช้ได้กับ Firefox, Opera, Edge, และ Chrome)
-
Router Wi-Fi หลายรุ่นสามารถตั้งค่า ตัวกรอง DNS ได้เลยในเครื่อง เพื่อบล็อกโฆษณาและการติดตามจากเว็บไซต์ทั่วทั้งบ้าน ถ้าอยากรู้วิธีทำ ลองดูบทความของเราชื่อว่า Why you should set up secure DNS — and how
ระหว่างเดินทาง: อันตรายจาก Smart Car (Connected Cars)

คุณพร้อมเดินทางแล้ว กระโดดขึ้นรถ สตาร์ตเครื่อง... ทันใดนั้น ระบบก็เล่นเพลงโปรดของคุณโดยอัตโนมัติและมีเบอร์คนสำคัญของคุณอยู่บนหน้าจอโทรด่วน สะดวกสบายใช่หรือไม่ แต่มันก็มีข้อเสีย เพราะรถยนต์สมัยใหม่สามารถส่งข้อมูลของคุณได้มากถึง 25 GB ต่อชั่วโมง
ปัญหาหลักมี 2 ประเภท
-
ความปลอดภัยทางไซเบอร์: รถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมักมีช่องโหว่ให้แฮกเกอร์ใช้โจมตี เช่น กรณี Mazda Connect ที่พบช่องโหว่ให้รันคำสั่งด้วยสิทธิ์ root หรือช่องโหว่จากค่ายอื่นๆ อย่าง Tesla, Kia, Jeep เป็นต้น
-
ผู้ผลิตรถเองก็แอบเก็บข้อมูล: ข้อมูลที่ได้จากคุณจะถูกขายต่อให้ data broker หรือบริษัทประกัน
วิธีลดการถูกติดตามจากรถยนต์ (แบบง่ายๆ)
-
เข้าไปที่เมนูฟีเจอร์สมาร์ตของรถ แล้ว ปิดฟีเจอร์ที่ไม่เคยใช้หรือไม่จำเป็น เช่น ระบบเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต, การเชื่อมกับแอปมือถือ หรืออะไรก็ตามที่ดูเหมือนไม่ได้ใช้แต่เปิดคาไว้อยู่
-
ติดตั้งอุปกรณ์ที่เรียกว่า immobilizer ที่ช่วยตัดการเชื่อมต่อของข้อมูลในระบบรถ บางคันอาจมีมาให้จากโรงงานอยู่แล้ว แต่ถ้ารถคุณไม่มี ก็ลองหาตัวเสริมมาติดตั้งเพิ่มได้
-
อัปเดต ซอฟต์แวร์ ECU ของรถ (ตัวควบคุมอิเล็กทรอนิกส์) ที่ศูนย์บริการเป็นระยะ เพื่อให้ระบบมีการปิดช่องโหว่ต่างๆ ที่ถูกค้นพบใหม่ แต่อย่าลืมว่าการอัปเดตก็อาจมีช่องโหว่ใหม่โผล่มาได้เหมือนกันนะ
ถ้าซีเรียสเรื่องความเป็นส่วนตัวสุดๆ (สายระวังจัดเต็ม)
-
ถ้าไม่อยากให้รถเก็บข้อมูลอะไรเลย ลองหาซื้อ รถมือสองรุ่นเก่าๆ ที่ไม่มีระบบเก็บหรือส่งข้อมูล จะดีกว่า โดยเฉพาะถ้ารถคันนั้น ไม่มีโมดูลสำหรับใส่ซิมการ์ด (GSM/3G/4G) นี่ถือเป็นสัญญาณที่ดีเลยว่ารถไม่ได้ส่งข้อมูลออกไปไหน
-
หรือจะเลือกใช้ รถเมล์ รถไฟฟ้า หรือปั่นจักรยาน แทนก็ได้ ปลอดภัย ไร้การติดตาม แถมช่วยลดคาร์บอนได้ด้วย
มื้อกลางวัน: อันตรายที่ซ่อนจากแอปสั่งอาหาร

ตอนพักกลางวัน หลายคนใช้แอปสั่งอาหารหรือเช็กอินร้านโปรดในโซเชียล ซึ่งทำให้ทิ้งข้อมูลไว้อีกเพียบ ทั้งพิกัด รายละเอียดบัตร และประวัติการสั่งซื้อ
แอปส่งอาหารมักเก็บข้อมูลผู้ใช้ถึง 21 หมวดหมู่ และ 95% ของข้อมูลเหล่านี้เชื่อมโยงกับตัวตนของคุณโดยตรง เช่น Uber Eats แบ่งปันข้อมูลถึง 12 หมวดกับพาร์ตเนอร์ เช่น เบอร์โทร ที่อยู่ และประวัติการสั่งอาหาร
หากข้อมูลเหล่านี้รั่วไหล คุณอาจถูกเปิดเผยทั้งชื่อ เบอร์โทร ที่อยู่ ไปจนถึงรายการอาหารที่คุณชอบ
ยิ่งไปกว่านั้น บริการส่งอาหารอาจประสบกับเหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหล (data breach) ได้ และเมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น ข้อมูลส่วนตัวของคุณ ตั้งแต่ชื่อ หมายเลขโทรศัพท์ ที่อยู่ ไปจนถึงรายการสินค้าที่สั่งและค่าใช้จ่ายทั้งหมด อาจถูกเปิดเผยสู่สาธารณะได้
วิธีป้องกันการถูกติดตามจากแอปสั่งอาหาร (แบบง่ายๆ)
-
เข้าไปเช็กการตั้งค่าพิกัดในแอป แล้วเปลี่ยนจาก “เปิดตลอดเวลา” เป็น “เปิดเฉพาะตอนใช้งานแอป” ก็พอ ถ้าอยากปลอดภัยกว่านั้นอีก ก็ ปิดตำแหน่งที่ตั้งไปเลย แล้วกรอกที่อยู่เองตอนสั่งอาหาร
-
ถ้าแอปไม่ได้จำเป็นต้องใช้ข้อมูลของคุณจริงๆ ก็ อย่าให้เข้าถึงรายชื่อ รูปภาพ หรือข้อความ ในเครื่อง เพราะมันไม่เกี่ยวอะไรกับการสั่งอาหารเลย
ถ้าอยากปลอดภัยแบบจัดเต็ม (สายระวังขั้นสุด)
-
สร้าง อีเมลสำรอง ขึ้นมาเฉพาะไว้ใช้สั่งอาหาร แล้วใช้ชื่อปลอมไปเลยก็ยังได้ ถ้าระวังสุดๆ อาจจะใช้มือถืออีกเครื่องแยกไว้สำหรับพวกแอปสั่งของหรือแอปที่น่าเสี่ยงต่างๆ ไปเลย
-
เวลาใส่ที่อยู่ในการจัดส่ง พยายาม อย่าระบุเลขห้องพักตรงๆ ให้ไปรับที่หน้าตึกแทน วิธีนี้ช่วยป้องกันไม่ให้ข้อมูลที่อยู่จริงๆ ไปเชื่อมโยงกับประวัติการสั่งซื้อในกรณีที่ข้อมูลรั่ว
-
ใช้ เงินสดจ่าย แทนการผูกบัตร จะได้ไม่ทิ้งข้อมูลไว้ในระบบจ่ายเงินของแอป
-
ถ้าอยากลดรอยเท้าดิจิทัลแบบจริงจัง ลอง เลิกสั่งอาหารผ่านมือถือ ไปเลย หยิบเงินสด เดินออกจากออฟฟิศ แล้วไปกินร้านใกล้ๆ ไม่มีมือถือ = ไม่มี GPS ตามตัว และไม่มีข้อมูลการสั่งซื้อให้ใครเก็บไว้ แม้กล้องวงจรปิดยังมีอยู่ แต่การไม่ใช้แอปเลยก็ช่วยลดร่องรอยของคุณบนโลกดิจิทัลได้เยอะมาก
กลับถึงบ้าน: Smart Home รู้จักคุณมากกว่าที่คิด

ไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้พักผ่อนที่บ้านหลังจากวันอันยาวนาน คุณสั่งให้ผู้ช่วยเสียงเปิดไฟหรือแนะนำหนังให้ดู ลำโพงอัจฉริยะ, ทีวี, หุ่นยนต์ดูดฝุ่น และแกดเจ็ตอื่นๆ ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้นอย่างแน่นอน แต่อุปกรณ์เหล่านี้ก็สร้างช่องโหว่มากมายให้กับเครือข่ายในบ้านของคุณ และมักมีนโยบายความเป็นส่วนตัวที่น่าสงสัย ตัวอย่างเช่น ในปี 2023 Amazon ถูกปรับเป็นเงิน 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการเก็บรักษาไฟล์บันทึกเสียงของเด็กและการละเมิดความเป็นส่วนตัวอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Alexa
และไม่ใช่แค่บริษัทใหญ่ๆ ที่ใช้ความสามารถของผู้ช่วยเสียงในทางที่ผิด กล้องวงจรปิด, ปลั๊กไฟอัจฉริยะ หรือแม้แต่กาต้มน้ำอัจฉริยะ ก็มักจะถูกแฮกอยู่บ่อยครั้ง และมักจะถูกดึงไปเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายบอทเน็ต (botnets) เพื่อใช้โจมตีแบบ DDoS เคยมีกรณีที่น่าตกใจที่ผู้ไม่หวังดีสามารถเข้าถึงกล้องในบ้านและใช้เพื่อสอดแนมหรือแกล้ง เช่น พูดผ่านเบบี้มอนิเตอร์ที่ถูกแฮก
วิธีตั้งค่าสมาร์ตโฮมให้ปลอดภัยขึ้น (แบบทั่วไป)
-
เข้าแอปที่ใช้ควบคุมสมาร์ตโฮม เช่น Google Home, Apple Home หรือ Alexa แล้ว เข้าไปดูเมนูที่เกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว (มักใช้ชื่อว่า Privacy หรืออะไรคล้ายๆ กัน) ให้ ปิดตัวเลือกที่ส่งเสียงของคุณไปให้ระบบวิเคราะห์ เช่น
-
Alexa ให้ปิด “Use of Voice Recordings”
-
Google Assistant ให้เลือกไม่เข้าร่วมโปรแกรมพัฒนาคุณภาพ
-
เปิดตัวเลือก “ลบประวัติการพูดอัตโนมัติ” และถ้าอยากลบเองก็ทำได้เลย เช่น พูดกับ Alexa ว่า “Alexa, ลบทุกอย่างที่ฉันพูดวันนี้” หรือเข้า Google Account เพื่อลบประวัติได้
-
-
ลำโพงอัจฉริยะทุกตัวจะมี ปุ่มปิดไมโครโฟน ถ้าไม่ได้ใช้งาน หรือมีบทสนทนาส่วนตัว ก็กดปิดไมค์ไว้เลย
-
แล็ปท็อปกับกล้องบางรุ่นจะมี ฝาปิดกล้องหรือชัตเตอร์ป้องกันสายตาแอบมอง อย่าลืมใช้มันนะ แค่เลื่อนปิดก็ช่วยให้ปลอดภัยขึ้น
-
ทีวีสมัยใหม่หลายรุ่นสามารถปิดฟีเจอร์เก็บสถิติการรับชม (มักเรียกว่า ACR) ซึ่งเอาไว้รายงานว่าคุณดูอะไรบ้าง ให้ เข้าไปปิดฟีเจอร์นี้ในเมนูทีวี จะช่วยไม่ให้ข้อมูลการดูทีวีของคุณถูกส่งกลับไปยังบริษัทผู้ผลิต
-
เราเตอร์ Wi-Fi รุ่นใหม่ๆ มักมีฟีเจอร์ให้สร้าง เครือข่าย Wi-Fi แยก (guest network) สำหรับอุปกรณ์ IoT โดยเฉพาะ วิธีนี้ช่วยให้อุปกรณ์สมาร์ตทั้งหลายแยกออกจากมือถือหรือคอมหลักของคุณ และถ้าอุปกรณ์ไหนโดนแฮกขึ้นมา ก็จะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญในเครื่องอื่นได้ แถมยังง่ายเวลาจะตัดเน็ตเฉพาะอุปกรณ์ที่ไม่ใช้
-
อุปกรณ์สมาร์ตทุกชิ้น ควรตั้ง รหัสผ่านที่แข็งแรงและไม่ซ้ำกัน และเมื่อเปิดใช้ครั้งแรก ควรเปลี่ยนชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านที่ตั้งมาจากโรงงานทันที จะให้ดี ใช้โปรแกรมจัดการรหัสผ่านอย่าง Kaspersky Password Manager ช่วยตั้งและเก็บรหัสให้ก็สะดวก
ถ้าคุณจริงจังเรื่องความเป็นส่วนตัวแบบสุดๆ (Paranoid Measures)
-
ทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุดคือ เลิกใช้ voice assistants and cloud-based smart home services. ใช้สวิตช์เปิดไฟเองแบบแมนนวล หรือใช้ ตั้งเวลาทำงานอุปกรณ์ด้วยปลั๊กตั้งเวลา แบบกลไกแทน ยิ่งบ้านมีไมโครโฟนและกล้องน้อยเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น
-
ถ้าจำเป็นต้องใช้ผู้ช่วยเสียงจริงๆ ลองดู ระบบออฟไลน์แบบ open-source อย่าง Mycroft AI ที่ประมวลผลคำสั่งในเครื่องโดยไม่ต้องส่งข้อมูลขึ้นคลาวด์
-
ถ้ากังวลว่าจะมีใครแอบฟังหรือมีกล้องซ่อน ลองซื้อ เครื่องตรวจจับไมโครโฟนหรือกล้องแอบถ่าย (ตรวจสอบก่อนว่าประเทศคุณอนุญาตให้ใช้ไหม) อุปกรณ์พวกนี้ช่วยหาตำแหน่งกล้องหรือไมโครโฟนซ่อนได้ โดยเฉพาะเวลาคุณสงสัยว่าอุปกรณ์บางตัวอาจซ่อนอะไรไว้ เช่น หลอดไฟที่ดูเหมือนกล้อง
-
ถ้ามีประชุมหรือคุยเรื่องสำคัญ ให้ถอดปลั๊กหรือย้ายอุปกรณ์ที่น่าสงสัยออกจากห้อง เช่น ลำโพงอัจฉริยะ กล้อง หรือทีวี
-
เลือกใช้อุปกรณ์ IoT ที่ ทำงานแบบออฟไลน์หรือเก็บข้อมูลในเครื่องเอง เช่น กล้องที่บันทึกลง SD card โดยไม่ส่งขึ้นคลาวด์ หรือระบบสมาร์ตโฮมที่รันบนเซิร์ฟเวอร์ส่วนตัวในบ้าน เช่น openHAB ที่เก็บข้อมูลไว้แค่ในบ้านคุณเท่านั้น
ในโลกดิจิทัลทุกวันนี้ ข้อมูลของคุณคือสินค้าที่มีค่า แม้ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะลบ Digital Footprint ของคุณให้หายไปได้อย่างสมบูรณ์ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณควรจะยอมแพ้และไม่ทำอะไรเลย การตระหนักรู้และใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยที่ชาญฉลาด จะช่วยให้คุณสามารถควบคุมการเปิดเผยข้อมูลของคุณได้เป็นส่วนใหญ่
บริการเสริมเพื่อการป้องกันที่พบใน Kaspersky Premium สามารถช่วยเสริมความเป็นส่วนตัวและการป้องกันการชำระเงินของคุณให้ดียิ่งขึ้น และเว็บไซต์ Privacy Checker ของเราก็มีคำแนะนำที่ครอบคลุมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวสำหรับสมาร์ทโฟน, คอมพิวเตอร์, โซเชียลเน็ตเวิร์ก, แอป หรือแม้แต่ระบบปฏิบัติการทั้งหมด ไม่ว่าคุณกำลังมองหาการปรับเปลี่ยนง่ายๆ หรือมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มข้นขึ้น เราก็มีข้อมูลให้คุณครบถ้วน
ที่มา https://www.kaspersky.com/blog/minimizing-digital-footprints-2025/53762/
สอบถามหรือปรึกษาเพิ่มเติมได้ที่
💬Line: @monsteronline https://lin.ee/cCTeKBE
☎️Tel: 02-026-6664
📩Email: sales@mon.co.th
Leave a comment